ตะลอนทัวร์คลอดทริปใหม่

ปีใหม่นี้ จะฉลองปีใหม่กันที่ไหน ที่แน่แน่ พวกสมาชิกตะลอนทัวร์เตรียมเก็บกระเป๋ากันได้แล้ว เมื่อครั้งก่อนไปเที่ยวคลองวาฬ ข้าน้อยทำผิดอย่างแรงทิ้ง สองป้าให้เดินหลงทางกลับที่พัก ใครจะไปคิดล่ะว่า ไอ้แค่ 200 ม.ตรง ๆ ท่านพี่จะหลงทาง ก็ประสบการณ์ย่ำมาแล้วรอบโลก ก็น่าจะไม่หลง แต่ผิดครับหลงครับท่าน ได้ข่าวว่าคราวนี้ จะหอบหิ้วเอาผู้อำนวยการโรงเรียนไปหลงอีกคน นี่ถ้าประวัติศาสตร์ซ้ำรอย พากันหลงเหมือนเมื่อคราวก่อน สงสัยต้องเตรียมหางานใหม่กันได้เลย เรียกว่ากลับมาตัวใครตัวมัน ฮิฮิฮิ มีต่อ

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2551

การต่อสู้ของความคิด คนที่ชื่อว่าครู



วิธีจัดการกับนักเรียนที่ชอบเล่นมากกว่าเรียน ทำจริงได้ผลจริง ทดลองแล้ว

สืบเนื่องจากบันทึก"รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี ( สุภาษิตที่กำลังสูญพันธุ์) " ผู้เขียนซึ่งสอนประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เจอปัญหาที่อยากปล่อยวาง คิดว่าแล้วแต่เวรแล้วแต่กรรมของนักเรียนแต่ละคนก็แล้วกัน แต่เวรกรรมของครูดูจะมีมากกว่าของนักเรียน เมื่อเจอเข้ากับโครงการป.2 อ่านคล่องพูดเก่งของเขตพื้นที่การศึกษาเข้า ได้ไปอบรมและรับทราบมาว่าจะมีการสอบการอ่าน การเขียน นักเรียนเป็นรายบุคคลทุกคน ผู้บริหารก็สั่งตรงลงมาว่าครูต้องจัดการหาวิธีการทำให้นักเรียนผ่านเกณฑ์ให้ได้ มีการติดตามและให้รายงานเป็นระยะ ไม่ทำไม่ได้ ทำในเวลาไม่ได้ก็ต้องหาเวลานอก ผู้สอนก็อยากสอนทั้งซ่อมทั้งเสริมอยู่หรอก แต่คุณลูกศิษย์ที่รักไม่ยอมให้ความร่วมมือเลย ในเวลาเรียนท่านเล่น แล้วเวลาพัก เวลานอกท่านจะยอมเรียนหรือ (ทีนี้ความทุกข์ก็บังเกิดอย่างท่วมท้นเสียยิ่งกว่าสามีแอบไปมีกิ๊กเสียอีก เพราะจะไปอาละวาดเอากับใครก็ไม่ได้ ) พอบอกนักเรียนที่ทำงานเรียบร้อยแล้วไปเล่นได้ ท่านวิ่งปร๋อออกนอกห้องก่อนใคร เลยได้สมญานามว่า "ลูกวัวหลุดคอก" นักเรียนคนนี้เป็นลูกวัวหลุดคอกมาเป็นเวลา เกือบ 3 เดือนนับตั้งแต่เปิดเทอมมา สุดท้ายผู้เขียนคิดว่า ในเมื่อใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ แล้วไม่ได้ผล ลองกลับไปหาวิธีดั้งเดิมบ้างคงไม่เสียหายอะไร จึงจัดห้องเรียนใหม่ให้มีพื้นที่ว่างหน้ากระดานพอสำหรับให้นักเรียนนั่งได้ทุกคน ไม่มีสมุด ไม่มีดินสอ ไม่มีสิ่งใดติดมือมาสักชิ้นเดียว แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มนั่งเป็นแถว เวลาฝึกอ่านนักเรียนทุกคนต้องตามองกระดานหรือแผนภูมิคำพื้นฐาน ห้ามมองหน้าครู ( มองหน้าครูก็ไม่เห็นตัวหนังสือซิ)แผนภูมินี้ใช้เยอะมาก ได้ผลดี แผ่นหนึ่งมี 4 - 5 แถว แถวละ 10-11 คำ เริ่มจากสะกดตามครูทีละคำ สะกดพร้อมกัน แล้วอ่านเป็นคำ วันแรกอ่านแผนภูมิแถวแรกประมาณ 10 คำ แล้วให้คัดคำทั้ง 10 ลงสมุดและแต่งประโยค วันที่สองอ่านทบทวนคำเก่า จนได้ทุกคำทุกกลุ่ม เน้นว่าแรก ๆ เอาแค่เป็นรายกลุ่มก่อน (พอนักเรียนอ่านได้ก็ยกยอไปว่ากลุ่มลูกวัวหลุดคอกอ่านได้แล้วเก่งจัง กลุ่มอื่นจะยอมแพ้ลูกวัวไหม ) แล้วค่อยเริ่มคำในแถวที่ 2 ทำอย่างนี้จนครบทั้ง 4 แถว แผนภูมิหนึ่งแผ่นใช้เวลา 4 วัน ได้คำประมาณ40-44 คำ จึงขึ้นแผนภูมิแผ่นต่อไป ในการแต่งประโยคนักเรียนคนอื่นก็ให้ทำเอง ลูกวัวหลุดคอก ก็ต้องมายืนทำที่โต๊ะครู แรก ๆ ครูช่วยคิดประโยคง่าย ๆ ให้นักเรียนเขียนโดยช่วยกันสะกดทีละคำทั้งครูทั้งนักเรียน จนหลัง ๆ นักเรียนจะสามารถคิดประโยคได้เอง แต่ยังเขียนไม่ถูก ครูก็ช่วยสะกดให้ฟัง ทำจนครบ วันละ 10-11 ข้อ จึงปล่อยให้ไปเล่นได้ ทำทุกวันโดยใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ลูกวัวหลุดคอกก็อ่านคำพื้นฐานที่จะสอบได้ทุกคำที่สอน ( เพราะคำพื้นฐานมีพันกว่าคำ จึงเลือกสอนเป็นบางคำประมาณ 450 คำ เนื่องจากเวลาจำกัด) การเขียนก็พอเอาตัวรอดได้ ที่สำคัญหลังการประเมินผู้เขียนได้นำคำที่เหลือทั้งหมดที่สอนไม่ทันมาให้นักเรียนฝึกอ่านแล้วจดไปทำเป็นการบ้านแต่งประโยคทุกวันวันละ 1 แถวเหมือนเดิม นักเรียนคนนี้ขอทำที่โรงเรียน โดยพัฒนาขึ้นคือนั่งทำที่โต๊ะตนเอง ( ก็ใกล้กับโต๊ะครูที่สุด) เมื่อนึกไม่ออกเขียนไม่ได้ค่อยถามครู ด้วยเหตุผลอันแสนน่ารักว่า กลับบ้านจะได้เล่นได้เต็มที่ ผู้เขียนเลยรอดด้วยประการฉะนี้แล บางทีของโบราณอาจดูไม่น่าสนใจ นำเสนอผลงานไม่ได้ แต่ใช้ได้ผลดี ไม่ยาก ไม่แพง ไม่เสียค่าลิขสิทธิ์ ใครสนในนำไปประยุกต์ใช้ดู ก็ไม่ว่ากัน ผู้เขียนยอมเป็นคนเชย ล้าสมัย หากจะทำให้นักเรียนอ่านออกเขียนได้จริง ยังมีวิธีการเชย ๆอีกอย่างที่อยากนำมาเล่าสู่กันในหมู่คนหัวอกเดียวกัน ถ้ายังไม่เบื่อหรือคิดว่าไม่ได้เรื่องราวอะไร ผู้เขียนจะแวะมาทักทายด้วยความเชยที่เต็มใจยิ่ง...แล้วค่อยพบกันใหม่....อ่านแล้วคิดเห็นเป็นอย่างไรพร้อมรับความคิดเห็นทุกเวลา...ขอขอบคุณล่วงหน้าสำหรับเพื่อนหัวอกเดียวกัน

ไม่มีความคิดเห็น: