ตะลอนทัวร์คลอดทริปใหม่

ปีใหม่นี้ จะฉลองปีใหม่กันที่ไหน ที่แน่แน่ พวกสมาชิกตะลอนทัวร์เตรียมเก็บกระเป๋ากันได้แล้ว เมื่อครั้งก่อนไปเที่ยวคลองวาฬ ข้าน้อยทำผิดอย่างแรงทิ้ง สองป้าให้เดินหลงทางกลับที่พัก ใครจะไปคิดล่ะว่า ไอ้แค่ 200 ม.ตรง ๆ ท่านพี่จะหลงทาง ก็ประสบการณ์ย่ำมาแล้วรอบโลก ก็น่าจะไม่หลง แต่ผิดครับหลงครับท่าน ได้ข่าวว่าคราวนี้ จะหอบหิ้วเอาผู้อำนวยการโรงเรียนไปหลงอีกคน นี่ถ้าประวัติศาสตร์ซ้ำรอย พากันหลงเหมือนเมื่อคราวก่อน สงสัยต้องเตรียมหางานใหม่กันได้เลย เรียกว่ากลับมาตัวใครตัวมัน ฮิฮิฮิ มีต่อ

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551

นั่งรถม้ารับลมหนาว "เมืองเขลางค์" กับครูอาร์ม

นั่งรถม้ารับลมหนาว“เมืองเขลางค์”
ยามลมหนาวมาเยือน ชวนให้คนกรุงอย่างเรานึกอยากแอ่วเมืองเหนือขึ้นมาทันที แต่เหมือนฟ้าเปิดโอกาสเข้าแล้ว เมื่อมีหมายเชิญจากพ่อเมืองไฟแรง นายดิเรก ก้อนกลีบ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง เชิญสื่อมวลชนทุกแขนงไปรวมตัวกันท้าลมหนาวยลถิ่นวัฒนธรรมลำปาง กันถึงที่
ว่าไปแล้วขึ้นเหนือทีไร ใจจดจ่ออยู่กับ จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย อยากขึ้นดอยแอ่วภูอู้เหนือ จ.ลำปาง เลยแอบน้อยใจว่า แหม...เห็นฉันเป็นแค่ทางผ่านหรือไง คราวนี้ล่ะเลยได้ม่วนซื่อเมืองไก่ขันสมใจอยาก งานนี้ต้องยกเครดิตให้ผู้ว่าฯ ที่แปลงร่างเป็นไกด์กิตติมศักดิ์พาพวกเราแอ่วลำปางในมุมมองใหม่ที่น่าสนใจ
“ลำปางได้ชื่อว่า เป็นเมืองโบราณที่มีอายุเก่าแก่ถึง 1,327 ปี มีที่ท่องเที่ยวทั้งวัฒนธรรมที่ไม่เป็นรองใครในภาคเหนือ และกิจกรรมก็จัดขึ้นตลอดหน้าหนาว ทั้งงานท่องเที่ยวเหมืองแม่เมาะ งานประเพณีล่องสะเปายี่เป็ง งานลำปางเซรามิกแฟร์ งานกาชาด เราเตรียมความพร้อมไว้แล้วให้สมกับชื่อคำขวัญของจังหวัดที่มีเอกลักษณ์โดเด่น ถ่านหินลือชา รถม้าลือลั่น เครื่องปั้นลือนาม งามพระธาตุลือไกล ฝึกช้างใช้ลือโลก เลยครับ”
สมแล้วที่เป็นพ่อเมือง...รู้ลึกรู้จริงประชาสัมพันธ์เก่งจริงๆ ครับท่าน
เสียงรถม้าวิ่งดังก๊อกแก็บๆ ทั่วบ้านทั่วเมือง เลยอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมหนอ..ที่นี่ต้องมีรถม้าไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวด้วย เห็นมีแค่จังหวัดเดียวเท่านั้นที่มีสาถีขี่รถม้า
แต่ถ้าได้รู้ถึงประวัติอาจจะต้องร้องโอโห...เพราะรถม้าในลำปางมีมาเป็นร้อยปีแล้ว
“ รถม้าเข้ามาในไทยครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 4 แล้ว แต่สมัยรัชกาลที่ 5 สั่งรถม้าเข้ามามากเพื่อใช้เป็นรถหลวง แต่เมื่อมีรถยนต์ รถม้าจึงได้ออกมาอยู่แถบชานเมือง ประมาณปี 2458 ได้มั้ง มีรางรถไฟขึ้นมาถึงลำปาง รถม้าจึงถูกให้ทำหน้าที่เป็นยานพาหนะรับส่งผู้โดยสารจากสถานีรถไฟเข้าสู่ตัวเมือง ก็เลยเป็นเอกลักษณ์อยู่ทนอยู่นานมาถึงทุกวันนี้ล่ะ” ลุงชาติ สารถีรถม้าอธิบายซะกระจ่างแน่นข้อมูลจนหมดข้อกังขา
ถือว่าเป็นกลยุทธ์ให้คนอื่นคิดถึงลำปางได้ดีจริงๆ แต่มาทั้งทีไม่ได้นั่งรถม้าเหมือนมาไม่ถึงลำปาง ว่าแล้วลุงชาติก็พานั่งรถม้าวนทั่วจังหวัด ลมเย็นเคลิ้มๆทำท่าจะหลับ พี่ท่านก็พาเลี้ยวเข้า วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม ต.เวียงเหนือ โดยมีท่านผู้ว่าฯ ยืนยิ้มให้ข้อมูลอยู่แล้ว
“เดิมวันแห่งนี้ เป็นวัดเก่าแก่นับพันปีที่ยังคงศิลปะแบบล้านนาผสมพม่า เป็นวัดที่เคยประดิษฐพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต ตั้งแต่ปี พ.ศ.1979 เป็นเวลาถึง 32 ปี” ท่านผู้ว่าฯ อธิบาย
มิน่าถึงดูมีมนต์ขลังแบบศิลปะลานนาและพม่าผสมผสานกันดูสวยงามสมชื่อวัดคู่บารมีเมืองลำปาง แต่จะว่าไปยังมีอีกวัดที่เราๆท่านๆ คุ้นเคยกันดี ผู้ว่าฯ ของเราก็ไม่ลืมพาเราไปหย่อนใจชมความงามที่ “วัดพระธาตุลำปางหลวง” มีความแปลกอยู่ที่ได้ชมพระธาตุกลับหัว ต้องเข้าโบสถ์ดูในที่มืด UNSEEN ลูกตาดีแท้
สำหรับคนเกิดปีฉลู มาสักการะให้คบ 9 ครั้งเชื่อได้ว่า ตายไปก็จะได้ขึ้นสวรรค์ แต่เดี๋ยวก่อน พวกที่บาปหนาโกงกินบ้านเมือง ยาหอมชาวบ้านไปวันๆ แล้วไปโกยเอาในคลังบ้านเมือง ต่อให้ไปไหวมาร้อยวัด นรกก็ยังกวักมือเรียกท่านอยู่ (อุ๊ปป์..อันนี้เราคิดเอง ไม่เกี่ยวกับบันทึกใบลานแต่อย่างใด)
ไหนๆ ก็มาลำปางทั้งที่ มีทีเด็ดที่ไหน ผู้ว่าฯ พาไปแอ่วหมดเท่าที่เวลามีจำกัด เลาะไปแวะมาพาเข้าอำเภอห้างฉัตร ชม “พิพิธภัณฑ์กะลามะพร้าว” ภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวบ้านที่นี่เขาล่ะ
ที่นี่มีของขายที่ทำจากกะลามะพร้าวทั้งหมด ช่างคิดช่างทำช่างเสกสรรดีแท้หนอชาวบ้านห้างฉัตร
“ ซื้อผลิตภัณฑ์โอท้อปที่นี่ ถ้ามีปัญญาขนก็เอาไป ลด 30 % สำหรับคนกันเอง”
แค่นั้นล่ะ ทั้งคณะก็แตกหือไม่รอช้า มุมใครมุมมัน กดเครื่องคิดเลขมือเป็นระวิงเหมือนมหกรรมมิทเดย์เซลล์เชียว แหม..เข้าใจพูดนามีปัญญาขนก็ขนไป แต่เงินซิมีปัญญาหามาได้แค่นี้
“เดี่ยวก่อนอยากเพิ่งเหมาหมดจะพาไปโรงงานเซรามิกต่อ ลดอีก 50%” แน่ะ…ยังมีทิ้งท้ายอีก
สรุปแล้วงานนี้นักข่าวอย่างเราๆกระเป๋าฉีกบานแบะ แต่ท่านผู้ว่าฯยิ้มแก้มป่อง เพราะเม็ดเงินหมุนคล่องสะพัดโอท็อปลำปาง แบบไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ
หลังจากที่เที่ยวชมความงามศิลปะลำปางมาทั้งวัน จึงได้แวะเข้าที่พัก “เหมืองแม่เมาะ” ที่นี่ล่ะ..ไฮไลต์ของ จ.ลำปางของแท้ ใครจะเชื่อบ้างว่า ลำปางก็มี” ทุ่งบัวตอง” สวยแข่งกับดอยแม่อูคอ แม่ฮ่องสอน เลยนะ
ผิดแต่ตรงที่นี่เป็นภูเขาที่สร้างขึ้นสุดลูกหูลูกตา เกิดจากดินและกากถ่านหินจากเหมืองที่ขุดขึ้นมาทับถมกันเป็นภูเขาเทียม โดยมีแผนพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวถาวร ด้วยการสร้างศาลาชมวิว พร้อมลานกิจกรรมด้านบนยอดดอย และปลูกบัวตองในบริเวณลาดเขารอบๆดอย เพื่อให้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจและเป็นพื้นที่สีเขียว ตัดกับปล่องควันยักษ์จากเหมืองถ่านหินที่เห็นแต่ไกลๆ ดูแล้วให้ได้คิด
มนุษย์เป็นผู้ร้ายที่จ้องทำลายธรรมชาติ แต่สุดท้ายธรรมชาติเท่านั้นล่ะ..ที่คอยเยียวยามนุษย์ให้อยู่รอด
เด็กๆ ที่มาเหมืองนี้ ความตั้งใจมีประเด็นเดียวล่ะ คือ เล่นสไลด์เดอร์ธรรมชาติ ที่ใช้แผ่นยางไหลลื่นไปกับพื้นหญ้าในแนวดิ่งอย่างสนุกสนาน ผู้ใหญ่หัวใจเด็กอย่างเราๆ ก็พลอยแย่งเด็กเล่นไปด้วย สนุกดี
นอกจากสนุกกับธรรมชาติแล้ว ที่นี้มี พิพิธภัณฑ์ศูนย์ถ่านหินลิกไนต์ศึกษา ตั้งอยู่ทางเข้าสวนพฤกษชาติ เป็นศูนย์นิทรรศการถาวร จัดแสดงเรื่องเกี่ยวกับธรณีวิทยาของประเทศไทย และเน้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดลำปางโดยตรง ประกอบด้วยส่วนจัดแสดง 4 ส่วน ส่วนแรกให้ความรู้เรื่องถ่านหิน ส่วนที่สองเป็นภาพยนตร์สามมิติ เรื่องกำนิดโลก และนิทรรศการเกี่ยวกับธรณีวิทยา และฟอซซิลที่พบในบริเวณพื้นที่เหมืองแม่เมาะ ซากไดโนเสาร์ของแท้ ซากช้างโบราณ 4 งา และสัตว์ทะเลน้ำลึกที่ขุดพบจากชั้นหิน ดูตื่นตาตื่นใจจริงๆ
อีกสองส่วนที่เหลือคือ ห้องผลิตไฟฟ้า จัดแสดงแบบจำลอง ตั้งแต่เริ่มทำเหมืองจนผลิตออกมาเป็นกระแสไฟฟ้า และ ห้องเฉลิมพระเกียรติ จัดแสดงภาพ และวีดิทัศน์ เกี่ยวกับกิจการถ่านหิน และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ตกดึกกับการต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง การแสดงเปิดงานแถลงข่าวฤดูกาลท่องเที่ยวของลำปาง....มี ชาวเขา ชาวเมืองพื้นบ้าน มาแต่งกายทำอาหารพื้นเมืองให้นักท่องเที่ยวที่ร่วมงานได้กินกันอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมการแสดงแบบศิลปะ เป็นอันจบทริปนครเขลางค์ อย่างสุดสวยในค่ำคืนนั้น
เอ้า..เร็ว..มื้อนี้ยังบ่ได้หมดหนาว ขอเชิญ ป้อแม่ ปี้น้อง ละอ่อน แม่อุ๋ย พ่ออุ๋ย แวะแอ่วลำปางก่อนแห่มกำ ค่อยแอ่วเวียงเชียใหม่ได้เน้อ..อ้ายจะได้ฮู้ว่าลำปางมีอันหยังบะเร่อบะเต๋อให้ม่วนอกม่วนใจกั๋น......
พัศสรรค์ รักษ์มีธรรม

ไม่มีความคิดเห็น: